ระบบย่อยอาหาร
- Prudh Kijsirikul
- Jan 1, 2018
- 6 min read
ระบบย่อยอาหาร
ช่องปาก (Mouth, Oral cavity)
ช่องปากเป็นส่วนต้นของท่อทางเดินอาหาร มีขอบเขตดังนี้
ด้านหน้าและด้านข้าง : เป็นส่วนของแก้มซึ่งเป็นแผ่นกล้ามเนื้อของหน้า คลุมด้านนอกด้วยผิวหนัง ด้านในบุด้วย Stratified squamous non-keratinizing epithelium ส่วนด้านหน้าของแก้มจะสิ้นสุด โดยกลายเป็นริมฝีปากบน(upper lib) และ ริมฝีบากล่าง (lower lib)
ด้านบน : เป็นเพดานแข็ง (Hard palate) ทางด้านหน้า และเพดานอ่อน (Soft palate) ทางด้านหลัง
เพดานแข็ง(Hard palate) ประมาณ 2/3 ด้านหน้า เป็นส่วนของกระดูก maxilla และ กระดูก palatine คลุมทับด้วยเยื่อเมือก
เพดานอ่อน (Soft palate) เป็นส่วนของเพดานอยู่ด้านหลังประมาณ 1/3 ด้านหลัง เป็นแผ่นกล้ามเนื้อยื่นเข้าไปในคอหอย(pharynx) ประกอบด้วย muscle fibers, หลอดเลือด , เส้นประสาท , adenoid tissue, mucous gland และดาดด้วย mucous membrane ปลายสุดด้านหลังมีติ่งยื่นลงมาตรงกลาง เรียกว่า ลิ้นไก่ (Uvula)
ด้านล่าง : ลิ้น (Tongue)
ด้านหลัง : Oropharynx
Sphincter 6 ที่ภายในระบบย่อยอาหาร
Upper esophageal sphincter
Lower esophageal sphincter
Pyloric sphincter
Sphincter Of oddi
Internal anal sphincter
External anal sphincter
ลิ้น (Tongue)

หน้าที่ : พูด รับรส คลุกเคล้าอาหาร กลืนอาหาร
เป็นอวัยวะเสริมในระบบย่อยอาหาร (Accessory organ) เป็นกล้ามเนื้อลายคลุมด้วยเยื่อเมือก ใต้ลิ้นด้านหน้าจะมี Frenulum ยึดใต้ลิ้นให้ติดกับเพดานปาก
ผิวด้านบนและด้านข้างของลิ้นจะมีตุ่มนูนเล้กๆ เรียกว่า papillae เป็นปุ่มรับรส แบ่งออกเป็น 4 แบบดังนี้
filiform papilla กระจายทั่วไป ไม่มีต่อมรับรส
Fungiform papilla คล้ายดอกเห็ด 2/3 ด้านหน้าลิ้น
Circumvallate papilla มีประมาณ 10-12 อัน อยู่ 1/3 ด้านหลังลิ้น เรียงตัวกันเป็นรูปตัว V หน้า sulcus terminalis
Foliate papilla เป็นสันนูนเล็กๆ ทางด้านข้างของลิ้น ส่วนใหญ่พบในสัตว์เคี้ยวเอื้อง
ฟัน(Teeth)

ฟันแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1.ตัวฟัน (Crown) ส่วนที่ยื่นออกมา
2.รากฟัน (Root) ส่วนของฟันที่ฝังอยู่ใน alveolar process ของกระดุก mandible และ maxilla และถูกหุ้มภายนอกด้วยเหงือก(Gum)
3.คอฟัน(Neck) อยู่ระหว่าง root กับ crown
เนื้อฟันประกอบด้วย
1.เนื้อฟัน(Dentine) ทำให้ฟันมีโพรงข้างในเรียกว่า Pulp cavity มีพวกหลอดเลือดและกระแสประสาท
2.Enamel ส่วนสีขาว เคลือบเนื้อฟันตรงส่วนตัวฟัน (Crown) มีความแข็งแรงที่สุด ประกอบด้วย calcium phosphate และ calcium carbonate
3.Cement ส่วนที่หุ้ม dentine ที่รากฟัน
ลักษณะของฟัน แบ่งออกเป็น 4 ชนิด
1.ฟันตัด (Incisors) ขากรรไกรละ 4 ซี่ ใช้สำหรับตัดและฉีกอาหาร
2.ฟันเขี้ยว (Canines) ขากรรไกรละ 4 ซี่ ปลายฟันมียอดแหลม ใช้สำหรับตัดและฉีกอาหาร
3.ฟันกรามน้อย (Premolar) ขากรรไกรละ 4 ซี่ สำหรับตัดอาหารและบดอาหาร
4.ฟันกรามใหญ่ (Molar) ขากรรไกรละ 6 ซี่ ฟันกรามบนมี 3 ราก ฟันกรามล่างมี 2 ราก ใช้บดอาหาร
ต่อมน้ำลาย(Salivary gland)

1. Parotid gland : อยู่ทางด้านหน้าของรูหู โดยต่ำกว่ารูหูเล็กน้อย สร้างน้ำลายที่มีลักษณะใส ส่งออกทาง parotid duct หรือ stensen’s duct ซึ่งวางตัวขนานกับโหนกแก้ม เปิดเข้าสู่ช่องปากตรงกับฟันกรามบนซี่ที่ 2 ผลิตน้ำลายประมาณ 25% ของน้ำลายทั้งหมด
2.Submandibular gland อยู่ใต้กระดูกขากรรไกร สร้างน้ำลายที่มีลักษณะใสมากกว่าเหนียว ส่งออกทาง Wharton’s duct ไปเปิดที่โคนของ lingual frenulum ผลิตน้ำลายประมาณ 70% ของน้ำลายทั้งหมด
3.Sublingual gland อยู่ใต้ลิ้น โดยวางอยู่ใต้เยื่อบุช่องปาก ไปเปิดที่ช่องปากโดยตรง ผลิตน้ำลายประมาณ 5% ของน้ำลายทั้งหมด
น้ำลาย มีลักษณะเป็นของเหลว มี 2 ชนิด คือ
ชนิดใส (Serous) มีน้ำย่อย amylase หรือ Ptyalin ทำหน้าที่ย่อยแป้ง ให้เป็น Dextrin ซึ่งเป็นแป้งที่มีขนาดเล็กลง
ชนิดเหนียว (Mucous) ช่วยให้การคลุกเคล้าอาหารผสมกับน้ำย่อยเกิดได้ดีและสะดวกต่อการกลืนอาหาร
หลอดอาหาร(Esophagus)
มหกายวิภาคของหลอดอาหาร : เป็นท่อกลวงต่อระหว่างคอหอยกับกระเพราะอาหาร ยาว 25 cm แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
1.Cervical portion
ข้างบนติดกับส่วนปลายของ Laryngopharynx และบริเวณ Epiglottis
วางอยู่ด้านหลังของ Epiglottis
มี upper esophageal sphincter
2.Thoracic portion
อยู่ใน posterior mediastinum
อยู่หลังหลอดลม (Trachea)
สิ้นสุดที่รอยต่อกับกระเพาะอาหาร ที่บริเวณกะบังลม(Diaphragm) ตรงระดับกระดูกสันหลังอกข้อที่ 10 (T10) โดยจะผ่านเข้าไปในรูกะบังลม
3.Abdominal portion
ใต้กะบังลม
ยาวประมาณ 3 cm
มี lower esophageal sphincter ช่วยป้องกันการ reflux ของกรดและอาหารจากกระเพาะอาหาร
จุลกายวิภาคของหลอดอาหาร
ผนังของหลอดอาหารแบ่งออกเป็น 4 ชั้น
ชั้น Mucosa มีเยื่อบุชนิด Stratified squamous epithelium
ชั้น submucosa เป็นชั้นของ connective tissue พบหลอดเลือด , หลอดน้ำเหลือง และเส้นประสาท
ชั้น Muscularis มีลักาณะพิเศษคือ
1/3 ด้านบนเป็นกล้ามเนื้อลาย- สั่งการได้ (บังคับให้กลืนได้)
1/3 ส่วนกลาง เป็นกล้ามเนื้อผสม (กล้ามเนื้อเรียบและกล้าเนื้อลาย)
1/3 ส่วนล่างเป็นกล้ามเนื้อเรียบ – สั่งการไม่ได้
ชั้น Adventitia อยู่ชั้นนอกสุด ไม่มี peritoneum หุ้ม
หน้าที่ของหลอดอาหาร
เป็นทางผ่านของอาหารจากช่องปากและคอหอยไป สู่กระเพาะอาหาร การเคลื่อนของอาหารผ่านหลอดอาหาร เคลื่อนที่แบบ Peristalsis movement
การสร้างสารจำพวกเมือกซึ่งเป็นของเหลวใสๆ ลื่นๆ ออกมาจากต่อมเมือก ที่อยู่ในผนังทุกส่วนของหลอดอาหารทุกส่วน แต่จะมีมากที่สุดในหลอดอาหารส่วนปลาย ซึ่งเมือกนี้จะเป็นตัวช่วยหล่อลื่นในการเคลื่อนที่ของอาหาร
เยื่อบุช่องท้อง (Peritoneum)

เป็น serous membrane ที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย แบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ
Parietal peritoneum บุด้านในของผนังช่องท้องทั้งหมด
Visceral peritoneum หุ้มผิวด้านนอกของอวัยวะภายในช่องท้อง
หน้าที่ของเยื่อบุช่องท้อง
1.สร้าง Peritoneal fluid มาหล่อลื่น เพื่อลดแรงเสียดทาน เมื่ออวัยวะภายในมีการเคลื่อนไหว
2.ป้องกันการกระจายของเชื้อโรค
3.แขวนอวัยวะต่างๆให้คงอยู่ในตำแหน่งและเป็นที่เกาะของหลอดเลือด หลอดน้ำเหลือง และเส้นประสาท
กระเพาะอาหาร (Stomach)
ขอบเขต : ด้านบนติดกับ esophagus ด้านล่างติดกับ small intestine ส่วน duodenum มีลักษณะเป็นรูปตัว J วางอยู่บริเวณลิ้นปี่ ค่อนมาทางด้านใต้ชายโครงด้านซ้ายของช่องท้อง
มหกายวิภาคของกระเพาะอาหาร

มองเห็นเป็นรูปตัว J ภายในจะเห็นเป็นลักษณะการพับไปมาของชั้นกล้ามเนื้อ เรียกว่า Rugae ซึ่งมีหน้าที่เพิ่มพื้นที่ในกระเพาะอาหาร
กระเพาะอาหารจะมรโค้ง 2 ข้าง คือ
1.Lesser curvature เป็นโค้งเล็ก ทางด้านขวาของกระเพาะอาหาร
2.Greater curvature เป็นโค้งใหญ่ ทางด้านซ้ายของกระเพาะอาหาร
มี peritoneum ไปเชื่อมกับส่วน transverse colon เรียกว่า greater omentum
กระเพาะอาหารแบ่งเป็น 4 ส่วนคือ
Cardiac part เป็นส่วนที่อยู่รอบรูเปิดของหลอดอาหาร
Fundus part เป็นส่วนที่คล้ายกระเปาะที่อยู่ทางด้านว้ายของ cardiac
Body part เป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุด อยู่ตรงกลางของกระเพาะอาหาร
Pylorus part เป็นส่วนที่แคบที่สุด แบ่งออกเป็น 2 ส่วนย่อยคือ pyloric antrum เป็นส่วนที่ขยายกว้างออกเล็กน้อย และส่วน Pyloric canal เป็นรูแคบ มีกล้ามเนื้อหูรูดที่เรียกว่า Pyloric sphincter
จุลกายวิภาคของกระเพาะอาหาร
ผนังของกระเพาะอาหารแบ่งเป็น 4 ชั้น คือ
1.ชั้น mucosa บุด้วย Simple columnar epithelium บริเวณนี้จะมี Gastric glands
Gastric glands ประกอบด้วยเซลล์ 4 เซลล์ คือ
1.Chief cell สร้าง pepsinogen เมื่อสารนี้ถูกกับกรดในกระเพาะอาหารจะเปลี่ยนเป็น pepsin ซึ่งเป็นน้ำย่อยที่ย่อยโปรตีน
2.Parietal cell สร้างกรดไฮโดรคลอริก(HCl) ที่ช่วยเปลี่ยน pro-enzyme ให้เป็น enzyme และสร้าง intrinsic factor ที่เกี่ยวกับการดูดซึมวิตามิน B12
3.Mucous cell สร้างเมือก ที่เป็นเบส เคลือบกระเพาะอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นอันตรายจากกรดไฮโดรคลอริก (HCl)
4.Enteroendocrine cell สร้างฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมน Gastric, Serotonin, Histamine
2.ชั้น Submucosa มีหลอดเลือด หลอดน้ำเหลือง และเส้นประสาท
3.ชั้น Muscularis ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียบ 3 ชั้น
ชั้นนอกเป็น longitudinal layer มีลักษณะตามยาว
ชั้นกลางเป็น Circular layer มีลักษณะเป็นวงกลม
ชั้นในเป็น Oblique layer มีลักษณะเป็นเฉียง
4.ชั้น Serosa ชั้นนอกเป็น visceral peritoneal
ตับ (Liver)

ตับอ่อน(Pancreas)

ตำแหน่ง : วางตัวอยู่ในช่องท้องด้านบนขวาใต้ต่อกะบังลม กินเนื้อที่ใต้ชายโครงขวาทั้งหมดและยื่นเข้าในบริเวณลิ้นปี่และใต้ชายโครงซ้ายบางส่วน
มหกายวิภาคของตับ : ตับเป็นต่อมมีท่อขนาดใหญ่ ตับเกือบทั้งหมดถูกคลุมด้วย peritoneum ซึ่งทำหน้าที่ยึดตับไว้ให้อยู่กับโครงสร้างใกล้เคียงเยื่อบุช่องท้องแต่ละส่วนมีชื่อเรียกต่างกัน ดังนี้
Coronary ligament : ยึดผิวด้านบนของตับไว้ในกะบังลม
Falciform ligament : ยึดผิวด้านหน้าของตับไว้กับกะบังลมและผนังหน้าท้อง
Round ligament : เป็นแท่งเอ็นกลมๆ ยึดระหว่างตับกับสะดือ ซึ่งเป็นส่วนเหลือของ umbilical vein ในตัวอ่อน
Lesser omentum : ยึดขั้งตับไว้กับกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น
ตับแบ่งออกเป็น 4 กลีบ ตามลักษณะที่เห็นภายนอก คือ
Right lobe อยู่ทางด้านขวาของ Falciform ligament
Left lobe อยู่ทางด้านซ้ายของ Falciform ligament
Caudate lobe อยู่ด้านล่าง อยู่ระหว่าง Inferior vena cava และ Left lobe
Quadrate lobe อยู่ด้านล่าง อยู่ระหว่าง Gall bladder และ Round ligament
ผิวล่างของตับจะมีบริเวณที่เรียกว่า ขั้วตับ (Porta hepatic) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีโครงสร้างสำคัญผ่านเข้าออกจากตับ ได้แก่
Hepatic artery นำเลือดแดงที่มีออกซิเจนสูง เข้าสู่ตับ เพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงตับ
Hepatic portal vein นำเลือดที่มีสารอาหารที่ถูกดูดซึมจากลำไส้เล็กเข้าสู่ตับ
Bile duct เป็นท่อที่นำน้ำดีที่สร้างจากตับไปเก็บที่ถุงน้ำดี
จุลกายวิภาคของตับ
: เนื้อตับประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่เรียกว่า hepatic lobule มีขอบเขตเป็นรูปหกเหลี่ยม ประกอบด้วย central vein เป็นจุดศูนย์กลางตรงมุมหกเหลี่ยมแต่ละมุม จะเรียกว่า portal triad ประกอบไปด้วยท่อ 3 ท่อ คือ
Hepatic artery นำเลือดแดงที่มีออกซิเจนสูง เข้าสู่ตับ เพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงตับ
Hepatic portal vein นำเลือดที่มีสารอาหารที่ถูกดูดซึมจากลำไส้เล็กเข้าสู่ตับ
Bile duct เป็นท่อที่นำน้ำดีที่สร้างจากตับไปเก็บที่ถุงน้ำดี
เซลล์เยื่อบุผิวของตับเรียกว่า hepatocytes มีรูปร่างเป็นทรงหลายเหลี่ยม เรียงตัวกันเป็นแถว เรียกว่า hepatic cord แผ่รัศมีไปรอบๆ central vein และมีช่องว่างบุด้วย simple squamous epithelium เรียกว่า sinusoid แทรกอยู่ระหว่างเซลล์ ทำให้ hepatocytes สามารถได้รับอาหารและออกซิเจนจากเลือดเข้าไปเลี้ยงตับได้ นอกจากนี้ภายใน sinusoid ยังมี Kupffer cells ซึ่งทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคและแบคทีเรีย
เซลล์ตับจะสร้างน้ำดีแล้วส่งมาทางท่อน้ำดีเล็กๆ เรียกว่า bile canaliculi แล้วมารวมกันเป็น Bile duct แล้วไหลไปที่ left, right hepatic duct แล้วรวมกันเป็น common hepatic duct นำน้ำดีออกจากตับ
หน้าที่ของตับ
ควบคุม metabolism ของคาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมัน
กำจัดและทำลายสารพิษของยาและฮอร์โมนบางชนิด
สร้างน้ำดีและเกลือน้ำดีขับออกสู่ลำไส้เล็กสำหรับการย่อยและการดูดซึมสารอาหารพวกไขมัน
เก็บสะสมอาหาร เช่น glucose ไว้ในรูปของ glycogen นอกจากนี้ยังสะสมวิตามิน A, D, B12 รวมทั้งแร่ธาตุพวกเหล็กและทองแดง
กำจัดเซลล์เม็ดเลือดที่หมดอายุและแบคทีเรียที่อยู่ในเลือด
ถุงน้ำดี (Gall bladder)
ตำแหน่ง : วางอยู่ในแอ่งที่ผิวด้านล่งของตับทางด้านหน้า ตำแหน่งของถุงน้ำดีบริเวณผนังหน้าท้อง คือจุดตัดระหว่างชายโครงขวากับขอบด้านขวาของกล้ามเนื้อ rectus abdominis
มหกายวิภาคของถุงน้ำดี : ถุงน้ำดีมีลักษณะคล้ายลูก pear และมี connective tissue ยึดติดกับตับ ขนาดของถุงน้ำดียาวประมาณ 8-10 cm กว้าง 2.5 cm
ระบบทางเดินน้ำดีประกอบด้วย common hepatic duct เป็นท่อนำน้ำดีออกจากตับผ่านทาง left, right hepatic duct และ cystic duct ซึ่งเป็นทางผ่านของน้ำดีเข้าและออกจากถุงน้ำดี ถุงน้ำดีจะทำหน้าที่เกี่ยวกับการสะสมน้ำดีไว้ชั่วคราวเพื่อปล่อยลงสู่ลำไส้เล็กเมื่อมีการย่อยอาหารโดยผ่านทาง common bile duct
จุลกายวิภาคของน้ำดี
ผนังของถุงน้ำดีจะประกอบไปด้วยชั้นทั้งหมด 3 ชั้น คือ
ชั้นในสุดเป็น Mucosa membrane
ชั้นกลางเป็น Muscle และ Fibrous tissue
ชั้นนอกสุดเป็น serous membrane ซึ่งมาจาก peritoneum
น้ำดี(Bile) ผลิตมาจากตับ มีลักษณะสีเขียวๆเหลือง มีฤทธิ์เป็นด่าง โดยปกติแล้วใน 1 วัน ตับจะผลิตน้ำดีได้ประมาณ 500-800 cc. น้ำดีทำหน้าที่เป็น co-enzyme ช่วยลดความตรึงผิวของไขมันให้เป็น Emulsified fat เพื่อให้น้ำย่อย Lipase สามารถย่อยไขมันได้ดีขึ้น
การเดินทางของน้ำดี : สร้างมาจากตับ ผ่านมาทาง left, right hepatic duct มารวมกันเป็นท่อเดียวเรียกว่า common hepatic duct แล้วนำน้ำดีไปเก็บสะสมไว้ที่ถุงน้ำดีเพื่อปรับความเข้มข้นให้เหมาะสม จากนั้นเมื่อน้ำดีจะถูกใช้จะผ่าน Cystic duct มารวมกับท่อ common hepatic duct เรียกว่า common bile duct แล้วเปิดเข้าบริเวณลำไส้เล็กส่วนที่ 2 ของ Duodenum บริเวณ sphincter of oddi
การเกิดของน้ำดี : เกิดจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง จะให้ Hemoglobin (Hb) ออกมาในกระแสเลือด หลังจากนั้นจะถูก Reticuloendothelial system (R.E.S.) ซึ่งพบมากในตับ ม้าม และไขกระดูก เปลี่ยน hemoglobin ให้เป็น Bilirubin ซึ่งเมื่อไหลไปตามกระแสเลือด และไปถึง cell ตับ จะทำหน้าที่ขับ Bilirubin ออกมาเป็นน้ำดี
ส่วนประกอบของน้ำดี
น้ำดีประกอบไปด้วย น้ำ, Bile salt, Bile pigment, Cholesterol, Mucin, Lecithin, Inorganic salt และ Urea เมื่อน้ำดีไหลเข้าสู่ลำไส้เล็ก Bile bilirubin ซึ่งเป็น Bile pigment อย่างหนึ่ง จะเปลี่ยนเป็น Stercobilin ซึ่งทำให้อุจจาระเป็นสีเหลือง มีบางส่วนของ Bile bilirubin ซึ่งถูกดูดซึมกลับมาทางลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด และถูกขับออกทางไตมาในปัสสาวะเรียกว่า Urobilin ซึ่งทำให้ปัสสาวะเป็นสีเหลือง
หน้าที่ของน้ำดี
Bile salt ทำหน้าที่ดูดซึมการย่อยไขมัน
ขับสีและของเสียอื่นๆออกจากร่างกาย
ดูดซึมวิตามิน A และ K
เป็น co-enzyme ของ pancreatic lipase เพื่อช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น
Bile salt ทำหน้าที่ควบคุม cholesterol ให้อยู่ในสภาพของสารละลายและยับยั้งการทำงานของ Thromboplastin
ตำแหน่ง : วางอยู่หลัง Greater curvature ของกระเพาะอาหาร มีลักษณะคล้ายปลา หรือคล้ายใบมะม่วง
มหกายวิภาคของตับอ่อน : รูปร่างยาวประมาณ 12.5 cm และหนาประมาณ 2.5 cm
ตับอ่อนแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ
ส่วนหัว(Head) อยู่ทางขวาเป็นส่วนที่กว้างที่สุด วางอยู่ในโค้งรูปตัว C ของลำไส้เล็กส่วน Duodenum
ส่วนคอ(Neck) วางพาดผ่านเส้นเลือด aorta
ส่วนลำตัว(Body) ทอดเฉียงขึ้นไปทางซ้ายข้ามกระดูกสันหลังส่วนเอวอันที่ 1 (L1)
ส่วนหาง (Tail) ของตับอ่อนจะไปจรดบริเวณขั้วของม้าม (spleen)
การเดินทางน้ำย่อยที่สร้างจากตับอ่อน : จะไหลเข้าสู่ลำไส้เล็กผ่านทาง main pancreatic duct ไปรวมกับน้ำดีที่มาจาก common bile duct บริเวณที่เห็นเป็นกระเปาะเรียกว่า Hepatopancreatic ampulla ซึ่งจะเปิดเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนที่ 2 ของ duodenum บริเวณ sphincter of oddi
หน้าที่ของตับอ่อน : ตับอ่อนสามารถสร้างได้ทั้งน้ำย่อย(มีท่อ)และสร้างฮอร์โมน (ต่อมไร้ท่อ) ตับอ่อนเป็นทั้ง mix exo-endocrine gland โดยตับอ่อนประกอบด้วยเซลล์แยกออกจากกันทั้ง 2 ชนิดอย่างชัดเจน
Exocrine component ประกอบด้วย serous acini ทำหน้าที่สร้างน้ำย่อย
Trypsin ย่อยโปรตีน ซึ่ง Trypsin ตอนแรกออกมาเป็น Trypsinogen ก่อนยังย่อยไม่ได้แล้วจะมารวมกับ Enterokinase ในลำไส้เล็กแล้วกลายเป็น Trypsin
Amylase ทำหน้าที่ย่อยคาร์โบไฮเดรต ให้เป็น glucose
Lipase ทำหน้าที่ย่อยไขมันให้เป็น glycerine และ กรดไขมัน(fatty acid) แต่ต้องอาศัยน้ำดีจากตับมาช่วย
Popeptidase ย่อย Peptones และ Peptide ให้เป็น amino acid
Dipeptidase ย่อย peptones และ peptide ให้เป็น amino acid
Endocrine component พวกเซลล์ของ Islet of Langerhan จะสร้างฮอร์โมน พวก Insulin, Glucagon, Somatostatin
การทำงานของตับอ่อน
การผลิตและหลั่งน้ำย่อยของตับอ่อน ได้รับการกระตุ้นจาก 2 ระบบคือ
Vagus nerve ตับอ่อนถูกกระตุ้นได้เมื่ออาหารอยู่ในปาก, กระเพาะอาหารและเมื่อมีอาหารกระตุ้นในลำไส้เล็กบีบตัวมากขึ้น
มี Hormone กระตุ้น ซึ่งเป็นระบบที่กระตุ้นตับอ่อนได้มาก ขณะที่มีอาหารอยู่ในลำไส้เล็กหรือมีกรดอยู่ในลำไส้เล็ก ลำไส้เล็กจะขับฮอร์โมนหลายชนิดออกมา สำหรับฮอร์โมนหลายชนิดที่ขับออกมาจากลำไส้เล็กนั้น secretin และ cholecystokinin เป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นตับอ่อนได้ดีมาก และเมื่อลำไส้เล็กมีเอนไซม์ Trypsin มากขึ้น ลำไส้เล็กจะหลั่งฮอร์โมนได้น้อยลง ซึ่งทำให้ตับอ่อนหลั่งน้ำย่อยได้น้อยลง
ลำไส้เล็ก(Small Intestine)

หน้าที่ : ทำหน้าที่ย่อยอาหารและดูดซึมอาหาร เริ่มตั้งแต่ส่วน Pyloric sphincter ของกระเพาะอาหาร จนถึง ileocaecal valve แล้วจึงเปิดเข้าสู่ลำไส้เล็กลำไส้เล็กมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ยาวประมาณ 21 ฟุต จะมีเยื่อบุช่องท้องยึดลำไส้ไว้กับผนังด้านหลังของช่องท้อง เรียกว่า เยื่อแขวนลำไส้ (mensentery)
มหกายวิภาคของลำไส้เล็ก
แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1.Duodenum เป็นลำไส้เล็กส่วนต้นที่สั้นที่สุด ยาวประมาณ 10-12 นิ้ว เริ่มต้นที่ pyloric sphincter ไปสิ้นสุดที่ duodenojejunal flexure เป็น retroperitoneal structure แบ่งออกเป็น 4 ส่วน
ส่วนที่ 1 (First part) ยาวประมาณ 2.5-3 cm เริ่มต้นจาก pyloric sphincter ถึง neck of gall bladder เป็นส่วนที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
ส่วนที่ 2 (Second part) ยาวประมาร 8-10 cm ไม่มี mesentery ยึดอยู่หลังเยื่อบุช่องท้องในระดับข้างขวาของ L1-L3 ส่วนนี้จะมี common bile duct และ main pancreatic duct มารวมกันตรง hepatopancreatic ampulla เปิดเข้าสู่ Duodenum ตรง sphincter of oddi
ส่วนที่ 3 (Third part) ยาวประมาณ 10 cm พาดผ่าน L3
ส่วนที่ 4 (Fourth part) ยาวประมาณ 2.5 cm วกขึ้นไปทางด้านซ้ายของ aorta จนถึง l2 แล้วหักตัวงอลง ต่อกับ Jejunum เรียกรอยต่อนี้ว่า duodeno-jejunal junction มี Treitz ligament ยึดไว้บริเวณ duodeno-jejunal flexure
2.Jejunum เป็นลำไส้เล็กส่วนกลางยาวประมาณ 8 ฟุต ภายในมีรอยจีบตามขวาง (Plica circulares) ชัดเจนและมีจำนวนมาก
3.Ileum เป็นลำไส้เล็กส่วนปลาย ยาวที่สุด ยาวประมาณ 12 ฟุต ติดต่อกับลำไส้ใหญ่บริเวณ Iliocecal valve
จุลกายวิภาคของลำไส้เล็ก
ผนังของลำไส้เล็ก มี 4 ชั้นคือ
Mucosa ชั้นเยื่อเมือกของลำไส้เล็ก จะมีโครงสร้างที่เรียกว่า villi ซึ่งพบมากที่ jejunum ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสระหว่างอาหารกับลำไส้เล็กให้มากขึ้น ทำให้การย่อยและการดุดซึมมีประสิทธิภาพสูง
Submucosa เป็น connective tissue ที่มีหลอดเลือดและหลอดน้ำเหลืองจำนวนมาก ชั้น submucosa ของลำไส้เล็กส่วน duodenum จะมีต่อมเมือก เรียกว่า Brunner’s gland เป็นจำนวนมาก จะสร้างเมือกที่มีฤทธิ์เป็นด่างไว้ป้องกันผนังลำไส้เล็กไม่ให้โดนทำลายโดยน้ำย่อยของกรดจากกระเพาะอาหารและช่วยปรับสภาพความเป็นกรด- เบส ของอาหารที่มาจากกระเพาะอาหาร
Mucularis ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียน 2 ชั้น คือชั้นนอกเป็นกล้ามเนื้อ longitudinal ชั้นใน เรียงตัวเป็นวง คือกล้ามเนื้อ Circular muscle
Serosa ลำไส้เล็กส่วน Jejunum และ Ileum จะมี peritoneal หุ้มและยึดกับผนังช่องท้องด้านหลังด้วย mesentery ส่วน Duodenum จะมี peritoneal หุ้มเป็นบางส่วนเท่านั้น
ลำไส้ใหญ่(Large Intestine)

มหกายวิภาคของลำไส้ใหญ่
ยาวประมาณ 1.5 m เริ่มจาก caecum ถึง anus ลำไส้เล็กถูกยึดกับผนังช่องท้องทางด้านหลัง เรียกว่า mesocolon บริเวณรูเปิดจาก ileum เข้าสู่ caecum เรียกว่า iliocecal valve
ลำไส้ใหญ่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ
1.ส่วน Caecum มีลักษณะเป็นถุงปลายตัน เป็นส่วนต้นของลำไส้ใหญ่ที่ลำไส้เล็กมาเปิดเข้า ช่องเปิดเรียกว่า iliocecal valve อยู่ทางด้านขวาของร่างกาย บริเวณ Right iliac fossa ยาวประมาณ 5-7 cm ตรงปลายของ caecum จะมี Vemiform appendix หรือไส้ติ่ง ซึ่งเป็นหลอดเล็กปลายตันห้อยอยู่
2.ส่วน Colon เป็นส่วนที่ต่อจาก caecum แบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือ
Ascending colon มีความหมายประมาณ 12-20 cm ต่อจากส่วนcaecum ไปจนถึง right hepatic flexure โดยวางตัวอยู่ทางด้านขวาของช่องท้องจนถึงใต้ตับ แล้วจะหักมุม 90 องศาไปทางซ้าย จุดหักมุมเรียกว่า Right hepatic flexure
Transverse colon ต่อจาก Right hepatic flexure แล้วทอดขนาดขวางไปกับช่องท้องจนถึงด้านซ้ายของช่องท้อง เมื่อถึงใต้ม้าม(spleen) จะหักมุม 90 องศาวกลงด้านล่าง ทำให้เกิด Left splenic flexure
Descending colon เป็นส่วนที่ต่อจาก Left splenic flexure จะทอดขนานกับแนวกระดูกสันหลังจนไป left iliac fossa ไม่มี mesentery เป็น retro-peritoneal organ
Sigmoid colon ต่อจาก descending colon เมื่อถึงบริเวณ iliac crest ด้านซ้าย จะขดเป็นรูปตัว S (S-shaped) จะมี sigmoid mesocolon มาช่วยแขวนตัว
3.ส่วน Rectum ต่อจาก Sigmoid colon เริ่มต้นจาก S3 ยาวประมาณ 12 cm รูปร่างโค้งตามความโค้งของ sacrum และ coccyx ไป ประมาณ 3 cm ส่วนปลายสุดจะหักขึ้นไปด้านหลังและลงข้างล่างแคบเป็น anal canal ทางด้านล่างของ rectum ในผู้ชายอยู่หลังต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงอยู่หลัง Vagina
จุลกายวิภาคของลำไส้ใหญ่
ผนังลำไส้ใหญ่แบ่งออกเป็น 4 ชั้น
ชั้น Mucosa เป็น simple columnar epithelium ที่มี goblet cell เป็นจำนวนมาก ทำหน้าที่สร้างเมือกเพื่อช่วยหล่อลื่นกากอาหารในขณะที่เคลื่อนที่ผ่านไปตามลำไส้ใหญ่
ชั้น Submucosa เป็นชั้นของ connective tissue มีหลอดเลือดและท่อน้ำเหลือง
ชั้น Muscularis มี 2 ชั้น ชั้นนอกเป็นกล้ามเนื้อตามยาว คือlongitudinal muscle ซึ่งมีลักษณะพิเศษ คือ มีการหนาตัวขึ้นเป็นแถบตามยาว 3 แถบเรียกว่า Taeniae coli แรงดึงตัวของแถบเหล่านี้ดึงให้ลำไส้ใหญ่มีลักษณะเป็นกระเปราะ ที่เรียกว่า Hausta
ชั้น Serosa จะถุงไขมันเล็กๆมาเกาะ เรียกว่า appendices epiploicae
ข้อแตกต่างระหว่างลำไส้ใหญ่กับลำไส้เล็ก
ลำไส้ใหญ่มีขนาดใหญ่กว่าลำไส้เล็ก
เยื่อเมือกของลำไส้ใหญ่ไม่มี villi และ plica circulares
ชั้นกล้ามเนื้อตามยาวของลำไส้ใหญ่ มีลักษณะพิเศษคือ มีการหนาตัวขึ้นเป็นแถบตามยาว 3 แถบเรียกว่า Taeniae coli ทำให้ลำไส้ใหญ่มีลักษณะเป็ฯกระเปราะ เรียกว่า Hausta
ชั้น Serosa ของลำไส้ใหญ่ จะถุงไขมันเล็กๆมาเกาะ เรียกว่า appendices epiploicae
หน้าที่ของลำไส้ใหญ่
ช่วยย่อยอาหารเพียงเล็กน้อย
ถ่ายระบายกากอาหารออกจากร่างกาย
ดูดซึมน้ำและอิเล็คโตรลัยต์จากอาหารที่ถูกย่อยแล้ว เช่น โซเดียมและเกลือแร่อื่นๆ ที่เหลืออยู่ในกากอาหาร รวมทั้งวิจามินบางอย่างที่สร้างจากแบคทีเรีย ซึ่งอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ ได้แก่ วิตามินบีรวม วิตามิน K
ทำหน้าที่เก็บอุจจาระไว้จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควรที่จะถ่ายกากอาหารออกนอกร่างกาย
Comments